กรุ๊ปเอ็ม แนะก้าวถัดไปสำหรับธุรกิจผ่านบทวิเคราะห์
GROUPM TH PoV ON CORONAVIRUS: 100 DAYS & BEYOND
สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาหรือโควิด-19 ที่ลุกลามไปทั่วโลกมาตั้งแต่ต้นปี 2563 ส่งผลให้มียอดผู้ติดเชื้อทั่วโลก ณ ต้นเดือนสิงหาคมรวมแล้วมากกว่า 18 ล้านคน นำมาซึ่งผลกระทบในด้านต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง อาทิ ด้านสภาวะเศรษฐกิจและสังคม
สำหรับประเทศไทยนั้นหลังจากที่ทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ได้ร่วมมือกันเผชิญหน้ากับมาตรต่าง ๆ เพื่อการป้องการการแพร่ระบาดในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา พบว่าสถานการณ์ของเรามีสัญญาณที่ดีขึ้น โดยที่ภาคธุรกิจเริ่มมีการกลับมาเปิดดำเนินการ ในขณะที่ภาคประชาชนก็เริ่มทยอยกลับมาใช้ชีวิตนอกบ้านมากขึ้นกว่าช่วงแรกที่มีข่าวของการแพร่ระบาด
กรุ๊ปเอ็ม ประเทศไทย (GroupM) กลุ่มเอเยนซี่ผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการการลงทุนด้านสื่อชั้นนำระดับโลกในเครือ ดับบลิวพีพี (WPP) จับมือกับมีเดียเอเยนซี่ในเครือได้แก่ มายด์แชร์ มีเดียคอม และ เวฟเมคเกอร์ ทำการรวบรวมข้อมูลจากพันธมิตรสื่อและบริษัทผู้นำวิจัยตั้งแต่เริ่มมีการประกาศ พรก ฉุกเฉิน เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2563 และทำการศึกษาถึงพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภคไทยในมิติต่าง ๆ ทั้งด้านการใช้ชีวิต ความเชื่อมั่น สภาพสังคม การเข้าถึงสื่อ รวมทั้งผลกระทบจากมาตรการการป้องกันการแพร่ระบาด เพื่อวิเคราะห์และเผยถึงโอกาสสำหรับภาคธุรกิจในช่วงที่ทุกอย่างกำลังฟื้นตัวผ่านบทวิเคราะห์ “GroupM PoV on Coronavirus Situation in Thailand: 100 Days and Beyond”
สรุปผลกระทบจากมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดจากไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทย
มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดหรือ Lockdown ที่มีการประกาศใช้ในช่วงปลายเดือนมีนาคมจนถึงสิ้นเดือนมิถุนายนได้ส่งผลกระทบต่อสภาพเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งในเรื่องของความเชื่อมั่นผู้บริโภค อัตราการว่างงาน การปิดกิจการของโรงงานและธุรกิจต่าง ๆ โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวและบริการที่ต้องพึ่งพานักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ
โดยสามารถสรุปถึงผลกระทบออกมาได้ดังนี้
>> ดัชนีความเชื่อมั่นของนักลงทุนลดลงทันทีนับตั้งแต่เริ่มมีการประกาศ พรก ฉุกเฉิน
>> ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคไทยลดต่ำลงมากที่สุดนับตั้งแต่ปี พศ 2542
>> ธุรกิจมากว่า 800 แห่งต้องปิดตัวลง โดยส่วนมากเป็นธุรกิจในภาคการท่องเที่ยว อุตสาหกรรมการบริการ การศึกษา และการเกษตร
>> แรงงานกว่า 25 ล้านคนได้รับผลกระทบจากการประกาศห้ามอากาศยานบินเข้าสู่ประเทศไทย
>> 75% ของคนไทยระบุว่าได้รับผลกระทบทางด้านรายได้ครัวเรือน
>> 81% ของคนไทยระบุว่าได้รับผลกระทบทางด้านรายได้ส่วนบุคคล
ในระหว่างที่มีการ Lockdown หน่วยงานจากภาครัฐได้มีการออกนโยบายและมาตรการต่าง ๆ เพื่อที่จะให้ความช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนให้กับทั้งภาคธุรกิจและประชาชน โดยตัวอย่างความช่วยเหลือ ได้แก่
>> มาตรการความช่วยเหลือในเรื่องของค่าใช้จ่ายทางด้านสาธารณูปโภคและโทรคมนาคม เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ รวมไปถึงการมอบอินเตอร์เน็ตฟรีจำนวน 10GB
>> การขยายเวลายื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีจากเดือนมีนาคมเป็นเดือนสิงหาคม
>> สำนักงานประกันสังคมประกาศการลดอัตราเงินสมทบและขยายเวลาส่งเงินสมทบโดยไม่ลดสิทธิประโยชน์ของผู้ประกันตน
>> ธนาคารแห่งประเทศไทยร่วมกับสถาบันทางการเงินออกนโยบายช่วยเหลือลูกนี้รายย่อย เช่น การปรับลดเพดานดอกเบี้ย และการปรับปรุงโครงสร้างหนี้
>> มาตรการมอบเงินเยียวยาผ่านโครงการต่าง ๆ เช่น เราไม่ทิ้งกัน จำนวน 5,000 บาทต่อเนื่องเป็นเวลา 3 เดือน
ทั้งนี้จากผลสำรวจพบว่านับตั้งแต่เริ่มมีมาตรการ Lockdown คนไทยมีความตื่นตัวและมีความกังวลต่อผลกระทบจากวิกฤติการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างมากในช่วงแรก
>> 82% ของกลุ่มตัวอย่างระบุว่ามีความกลัวต่อไวรัสโคโรนาในช่วงเริ่มต้นที่มีการประกาศใช้มาตรการป้องกัน แต่ความกังลงนี้ได้ลดลงเหลือ 58% ในช่วงเดือนมิถุนายน ซึ่งเป็นช่วงที่เริ่มมีการผ่อนปรน
>> 84% ของกลุ่มตัวอย่างระบุว่ามีความเป็นห่วงในเรื่องผลกระทบที่ไม่ดีต่อสังคม
>> กว่าครึ่งของกลุ่มตัวอย่างระบุว่ามีความกังวลเกี่ยวกับสถานะทางการเงิน (70%) และความมั่นคงของงานที่ทำอยู่ (60%)
การปรับตัวสู่วิถีชีวิตออนไลน์ของผู้บริโภคชาวไทย
การวิเคราะภาพรวมปฏิกริยาการตอบสนองของคนไทยที่มีต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสนั้น สามารถวิเคราะห์ได้จากดัชนีพฤติกรรมการใช้ชีวิตนอกบ้าน Apple’s Mobility โดยพบว่าช่วงแรกของการแพร่ระบาดในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ คนไทยยังคงมีอัตราการใช้ชีวิตนอกบ้านแบบปกติ
ทั้งนี้ดัชนีการออกนอกบ้านของคนไทยเริ่มมีการปรับตัวลดลงหลังจากที่มีการประกาศถึงการเสียชีวิตจากการติดเชืี้อในช่วงต้นเดือนมีนาคม และลดลงอย่างเห็นได้ชัดตอนปลายเดือนมีนาคมที่เริ่มประกาศใช้มาตรการ Lockdown
อย่างไรก็ตามดัชนีมีการแสดงให้เห็นว่าประชาชนได้เริ่มกลับมาใช้ชีวิตนอกบ้านหลังจากสัปดาห์ที่สามของการ Lockdown ซึ่งพฤติกรรมนี้ได้มีการพัฒนาขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงปลายเดือนพฤษภาคมตัวดัชนีได้ไต่ระดับขึ้นมาจนเกือบเท่ากับช่วงก่อนที่จะมีการประกาศมาตรการ Lockdown
ข้อมูลข้างต้นสอดคล้องกับสัญญาณที่บ่งบอกถึงความต้องการของคนไทยที่จะกลับออกมาใช้ชีวิตนอกบ้านผ่านพฤติกรรมการเสิรช์เกี่ยวกับกิจกรรมต่าง ๆ เช่น สถานที่ท่องเที่ยว โรงแรม หรือคาเฟ่ ที่เพิ่มสูงขึ้นตั้งแต่ก่อนที่จะมีการปลดล๊อค
อีกหนึ่งสิ่งที่น่าจับตามองก็คือการที่อินเตอร์เน็ตเข้ามามีส่วนร่วมในชีวิตประจำวันของผู้บริโภคมากขึ้น จากข้อมูลของ คันทาร์ บริษัทวิจัยชั้นนำของโลก พบว่ามาตรการป้องกันการแพร่ระบาดจากทั้งภาครัฐและเอกชนทำให้คนไทยเริ่มมีการปรับตัวเข้าหาแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ ในระหว่างที่ต้องเก็บตัวอยู่ที่บ้านเป็นเวลานาน
>> เริ่มซื้อของออนไลน์ครั้งแรกเพิ่มขึ้น 44%
>> หันมาซื้อสินค้าผ่านโทรศัพท์มือถือเพิ่มมากขึ้น 47%
>> รับชมสื่อผ่านแพลตฟอร์วิดีโอออนไลน์มากขึ้น 71%
>> ติดตามข่าวสารทางออนไลน์มากขึ้น 69%
ไม่เพียงแค่แพลตฟอร์มออนไลน์เท่านั้นที่มีการเติบโต การที่ผู้บริโภคมีเวลาอยู่ที่บ้านมากขึ้นยังส่งผลให้คนไทยได้มีโอกาสกลับไปดูโทรทัศน์แบบออฟไลน์เพิ่มมากขึ้นถึง 37%
ก้าวต่อไปสำหรับธุรกิจหลังวิกฤติโควิด-19
แม้ว่าสถานการณ์ของไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทยจะมีสัญญาณการปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้น แต่สถานการณ์การระบาดในประเทศอื่น ๆ ยังคงมีการพบผู้ป่วยติดเชื้ออย่างต่อเนื่อง ดังนั้นแบรนด์และนักการตลาดควรที่จะเตรียมแผนการรับมืออยู่ตลอดเวลา
การอ้างอิงและแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้จากตลาดอื่น ๆ ยังคงเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับแบรนด์และนักการตลาดในการนำมาตั้งมาตรฐานหรือแนวทางปฎิบัติสำหรับอนาคต โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ผู้บริโภคนั้นเริ่มคลายความกังวลจากการแพร่เชื้อแต่ยังคงมีความกังวลในเรื่องของการใช้จ่ายเงินอยู่
มีการคาดการณ์ว่าการแข่งขันทางธุรกิจจะเข้มข้นมากขึ้นผ่านกลยุทธ์เรื่องราคาเพื่อที่จะรักษายอดขายของธุรกิจ อย่างไรก็ตามนักการตลาดก็ไม่ควรที่จะลืมเรื่องของกลยุทธ์การสร้างแบรนด์ที่มีผลกับประสิทธิภาพในการทำการตลาดระยะยาว ทั้งนี้นักการตลาดต้องมีความพร้อมที่จะปรับตัวให้ทันกับกระแสความต้องการที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภค โดยเฉพาะเรื่องของความสะดวกสบาย
การเตรียมความพร้อมสำหรับการเข้าสู่การแข่งขันในตลาดออนไลน์ รวมไปถึงการสร้างพันธมิตรกับบริษัทขนส่งและแหล่งซื่อขายสินค้าและบริการออนไลน์รูปแบบต่าง ๆ ยังนับเป็นสิ่งสำคัญสำหรับแบรนด์ในการที่จะยืนหยัดอยู่ในตลาด
โดย กรุ๊ปเอ็ม ได้สรุปเหตุการณ์และแนวทางคำแนะนำสำหรับธุรกิจสินค้าในแต่ละหมวดหมู่ไว้ดังนี้
หมวดหมู่การท่องเที่ยวและบริการ
มาตรการป้องกันต่าง ๆ เพื่อป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เช่น การประกาศห้ามอากาศยานบินเข้าสู่ประเทศไทยเป็นการชั่วคราว ส่งผลให้เกิดผลกระทบและการเสียโอกาสต่อธุรกิจและอุตสาหกรรมอย่างการท่องเที่ยวและการโรงแรมเป็นอย่างมาก ธุรกิจบริการทั้งในส่วนของการคมนาคมขนส่งและการโรงแรมมีการลดจำนวนพนักงานหรือปิดตัวลงเป็นจำนวนมาก
แต่ในขณะเดียวกันมาตรการคลายล็อคจากภาครัฐ รวมถึงสงครามราคาจากทั้งโรงแรมและสายการบินก็ทำให้ความต้องการด้านการท่องเที่ยวในประเทศกลับมาเด่นชัดขึ้นอีกครั้ง โดยธุรกิจภายใต้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการโรงแรมควรหันมาให้ความสำคัญกับความต้องการของผู้บริโภคภายในประเทศผ่านการสร้างคุณค่าของธุรกิจและบริการให้แตกต่างจากคู่แข่งด้วยความรวดเร็วและเท่าทันตลาด ซึ่งรวมไปถึงการใช้กลยุทธ์ช่องทางในการสื่อสารทางการตลาด เช่น เสิรช์ หรือการนำเสนอสิ่งที่สามารถทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อได้ทันที
ช่วงเวลานี้ยังเป็นเวลาที่เหมาะแก่การนำเสนอรูปแบบการท่องเที่ยวใหม่ ๆ ที่เน้นเรื่องของความปลอดภัยและสุขภาพ นอกจากนี้แบรนด์ยังสามารถนำความรู้เฉพาะทาง เช่น อาหารและเครื่องดื่ม หรือแม้แต่ความเชี่ยวชาญทางด้านความสะอาด มาใช้เพื่อเป็นหนทางในการขยายตลาดสินค้าหรือบริการ
นอกจากนี้แบรนด์ยังควรที่จะติดตามสถานการณ์ที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวขาเข้าประเทศ โดยเฉพาะเรื่องมาตรการใหม่อย่าง Travel Bubble ที่สามารถเป็นโอกาสทางธุรกิจในอนาคต
หมวดหมู่ยานยนต์และอสังหาริมทรัพย์
จากสถิติของเดือนพฤษภาคมพบว่ายอดขายของอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทยลดลงถึง 54% โดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยคาดการณ์ว่าผลกระทบของไวรัสโควิด-19 จะทำให้ความต้องการในการซื้อยานพาหนะลดลงและส่งผลให้ยอดขายของปี 2563 มีแนวโน้มที่จะตกลงไปประมาณ 30%-50%
บางกอกอินเตอร์เนชั่นแนลมอเตอร์โชว์ครั้งที่ 41 มียอดการจองรถในปีนี้ 22,791 คัน จากเป้าที่ตั้งไว้ 30,000 คัน ซึ่งเป็นยอดที่ลดลงอย่างมากเมื่อเทียบยอดจอง 49,278 คัน ในปีก่อนหน้า โดยงานในปีนี้มีการถอนตัวจากสองแบรนด์ดังอย่าง Mercedes-Benz และ Harley Davison
สำหรับอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ ผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 มีผลให้ความต้องการซื้อคอนโดมิเนียมกลุ่มคนฐานะปานกลางและชาวต่างชาติลดลง ซึ่งถ้านับแค่กลุ่มนักลงทุนต่างชาติเพียงอย่างก็เป็นสัดส่วนถึง 35% ของส่วนแบ่งการตลาด
แต่ในทิศทางกลับกันสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรรระบุว่าบ้านในกลุ่ม High-end และอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบออฟฟิศกำลังได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้นจากนักลงทุน โดยมีการคาดการณ์ว่ากลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีแนวโน้นที่จะหันมาให้ความสำคัญกับโครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมเพิ่มขึ้น
นักการตลาดในกลุ่มธุรกิจยานยนต์และอสังหาริมทรัพย์ต้องให้ความสำคัญในการทำการตลาดแบบ Always On และต้องคำนึงถึงการสร้างภาพลักษณ์และคุณค่าของแบรนด์ต่อผู้บริโภคและสังคม เพื่อเป็นการสร้างการจดจำในระยะยาว โดยที่แบรนด์ต้องจะปรับกลยุทธ์ผ่านการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีบนแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อที่จะเข้าหาผู้บริโภคบนเจอร์นีที่เปลี่ยนไป
หมวดหมู่ธนาคารและสินค้าเทคโนโลยี
ในช่วงของการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ธนาคารและสถาบันการเงินในประเทศไทยได้ปรับเวลาการให้บริการใหม่ทั้งหมด รวมถึงเพิ่มการแนะนำและสนับสนุนให้ลูกค้าผู้ใช้บริการหันไปใช้ช่องทางดิจิทัลในการทำธุรกรรม ส่งผลให้ยอดผู้ทำการเปิดบัญชีออนไลน์รายใหม่เพิ่มขึ้น 3.8%
โดยในช่วงที่มีมาตรการปิดเมือง ธนาคารอย่างน้อยสองแห่งได้มีการพัฒนาระบบการให้บริการทางออนไลน์และเปิดตัวแอพพลิเคชั่นใหม่ออกมา
สินค้าประเภทเทคโนโลยีแม้จะได้รับผลกระทบจากการที่ผู้บริโภคไม่สามารถออกไปใช้บริการที่ร้านในช่วงที่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่อย่างไรก็ตามผู้บริโภคยังสามารถติดต่อกับแบรนด์ผ่านระบบต่าง ๆ อาทิ call center เว็ปไซต์ หรือแอพพลิเคชั่น ซึ่งส่งผลให้พฤติกรรมของผู้บริโภคที่ยังมีความต้องการเทคโนโลยีและบริการสื่อต่าง ๆ อยู่เช่นเดิม
โดยพบว่าบริการเทคโนโลยีทางด้านสื่อบันเทิง Video Streaming อย่าง Netflix หรือ WeTV มีจำนวนผู้ใช้และผู้ติดตามเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม
การที่ผู้บริโภคเริ่มมีความคุ้นเคยกับความสะดวกสบายจากแพลตฟอร์มดิจิทัล แบรนด์และนักการตลาดต้องแน่ใจว่าแพลตฟอร์มหรือเทคโนโลยีของตัวเองจะได้รับการพัฒนาให้ผู้บริโภคใช้งานได้ง่ายขึ้น
การสื่อสารทางการตลาดสำหรับสินค้าในหมวดหมู่นี้ต้องอาศัยการสื่อสารแบบผสมผสานระหว่างสื่อทั้งแบบออฟไลน์และออนไลน์แบบ Always On ในเรื่องของนวัตกรรมและความสะดวกสบายจะดึงดูดความสนใจจากผู้บริโภค นอกจากนี้การใช้เสิรช์ร่วมกับการตลาดแบบเน้นผล (Performance based) เพื่อช่วยเพิ่มการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายสำหรับลูกค้าของกลุ่มสินค้านี้ได้
หมวดหมู่สินค้าอุปโภคบริโภค
สินค้าอุปโภคบริโภค ของใช้ในครัวเรือน และอาหาร อยู่ในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบน้อยกว่าอุตสาหกรรมอื่น ๆ เพราะสินค้าหมวดหมู่นี้เป็นส่วนหนึ่งของปัจจัยในการดำรงชีวิต โดยในช่วงที่ผ่านมาได้เกิดเทรนด์และกิจกรรมการอยู่บ้านใหม่ ๆ เช่น การทำอาหารกินเองที่บ้าน ซึ่งทำให้ร้านค้าปลีกรวมถึงร้านสะดวกซื้อได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบของการบริการเพื่อความสะดวกสบายของผู้บริโภค เช่น ทั้งการสั่งสินค้าผ่านระบบออนไลน์ บริการส่งสินค้าถึงที่บ้าน
แบรนด์ในกลุ่มของสินค้าอุปโภคบริโภค ของใช้ในครัวเรือน และอาหาร ควรรักษามาตรฐานการสื่อสารทางการตลาดทั้งรูปแบบออฟไลน์และออนไลน์อย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาและเพิ่มความต้องการซื้อจากผู้บริโภค ทั้งนี้นักการตลาดควรคำนึงถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปผ่านการใช้อีคอมเมิร์ซ ควบคู่ไปกับการร่วมมือกับแพลตฟอร์มการค้าขายออนไลน์อื่น ๆ
กลยุทธ์การขายสินค้าที่มีแพคเกจขนาดเล็กลงเพื่อเจาะกลุ่มคนหนุ่มสาวที่ยังไม่มีครอบครัวยังคงเป็นโอกาสที่น่าสนใจในช่วงนี้
แต่สิ่งสำคัญคือแบรนด์ต้องวางกลยุทธ์การสื่อสารเพื่อสร้างความมั่นใจของผู้บริโภคต่อในเรื่องคุณภาพและความปลอดภัยของสินค้า โดยต้องแน่ใจว่าผู้บริโภคสามารถตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับที่มาของสินค้าได้
หมวดหมู่สินค้าความงามและแฟชั่น
สิ่งที่คล้ายกันสำหรับสินค้าและผลิตภัณฑ์ในสองอุตสาหกรรมนี้คือเรื่องระยะเวลาที่จำกัด เช่น วันหมดอายุของสินค้าความงาม ฤดูกาลหรือช่วงเวลาที่อยู่ในเทรนด์ของสินค้าแฟชั่น มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดทำให้แบรนด์เสียโอกาสในการขายเนื่องจากการที่ห้างร้านต้องปิด ในขณะที่ผู้คนก็ไม่จำเป็นต้องแต่งตัวออกไปนอกบ้าน ความท้าทายของแบรนด์และนักการตลาดคือจะทำอย่างไรจึงจะสามารถจำหน่ายสินค้าที่ยังคงเหลือคงคลังให้ได้ก่อนที่จะสินค้าจะหมดอายุหรือล้าหลังจนเกินไป
ในขณะที่สถานการณ์ในประเทศไทยมีสัญญาณที่ค่อย ๆ คลี่คลาย ผู้บริโภคเริ่มทยอยออกมาใช้ชีวิตตามปกติ แต่นักการตลาดยังต้องไม่ลืมว่าผู้บริโภคยังคงมีความระมัดระวังในการใช้เงินและอาจจะไม่ได้กลับไปซื้อสินค้าในหมวดหมู่นี้มากเช่นเดิม
นอกเหนือจากการขายหน้าร้าน แบรนด์ควรที่จะปรับตัวตามพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เริ่มคุ้นชินกับความสะดวกสบายในการหาสินค้าผ่านการเสิรช์ที่นำผู้บริโภคไปสู่การซื้อทางออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ และช่องทางการขายออนไลน์ของแบรนด์เอง
สำหรับแบรนด์ความสวยความงาม เครื่องสำอาง และสกินแคร์ นักการตลาดสามารถใช้ฐานข้อมูลจากแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่มีอยู่นำมาวิเคราะห์และคาดการณ์เพื่อสร้างโอกาสสำหรับในการขายในครั้งต่อไป
กลุ่มผู้บริโภคในภูมิภาคต่าง ๆ ยังคงให้ความสนใจกับคำแนะนำจาก Micro Influencer ที่เป็นคนท้องถิ่น โดยผลิตภัณฑ์ขนาดเล็กที่วางขายในร้านสะดวกซื้อหรือร้านโชห่วย ยังคงได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้บริโภควัยรุ่น และต่างจังหวัด
สำหรับอุตสาหกรรมเสื้อผ้าและแฟชั่น เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มมีความคุ้นชินกับเทคโนโลยีและทำให้รูปแบบการทำงานจะเริ่มมีผสมผสานระหว่าการทำงานที่บ้านและนอกบ้านมากขึ้น แบรนด์ควรที่จะคว้าโอกาสนี้ในการที่จะผลิตและสื่อสารในเรื่องของสินค้าที่มีเกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพ ความปลอดภัย ตลอดจนสร้างแฟชั่นในรูปแบบการทำงานที่บ้านให้เกิดขึ้น
จากผลสำรวจพบว่าผู้บริโภคมีความสนใจเกี่ยวกับการป้องกันปัญหาสุขภาพมากขึ้น ดังนั้นแบรนด์สามารถปรับตัวตามสถานการณ์ หันไปพัฒนาผลิตสินค้าใหม่ ๆ ที่เกี่ยวกับเรื่องของสุขภาพมากกว่าการขายระยะสั้น เช่น การขยายสินค้าประเภทหน้ากาก หรือการทำโปรโมชั่น
หมวดหมู่การท่องเที่ยวและบริการ
มาตรการป้องกันต่าง ๆ เพื่อป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เช่น การประกาศห้ามอากาศยานบินเข้าสู่ประเทศไทยเป็นการชั่วคราว ส่งผลให้เกิดผลกระทบและการเสียโอกาสต่อธุรกิจและอุตสาหกรรมอย่างการท่องเที่ยวและการโรงแรมเป็นอย่างมาก ธุรกิจบริการทั้งในส่วนของการคมนาคมขนส่งและการโรงแรมมีการลดจำนวนพนักงานหรือปิดตัวลงเป็นจำนวนมาก
แต่ในขณะเดียวกันมาตรการคลายล็อคจากภาครัฐ รวมถึงสงครามราคาจากทั้งโรงแรมและสายการบินก็ทำให้ความต้องการด้านการท่องเที่ยวในประเทศกลับมาเด่นชัดขึ้นอีกครั้ง โดยธุรกิจภายใต้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการโรงแรมควรหันมาให้ความสำคัญกับความต้องการของผู้บริโภคภายในประเทศผ่านการสร้างคุณค่าของธุรกิจและบริการให้แตกต่างจากคู่แข่งด้วยความรวดเร็วและเท่าทันตลาด ซึ่งรวมไปถึงการใช้กลยุทธ์ช่องทางในการสื่อสารทางการตลาด เช่น เสิรช์ หรือการนำเสนอสิ่งที่สามารถทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อได้ทันที
ช่วงเวลานี้ยังเป็นเวลาที่เหมาะแก่การนำเสนอรูปแบบการท่องเที่ยวใหม่ ๆ ที่เน้นเรื่องของความปลอดภัยและสุขภาพ นอกจากนี้แบรนด์ยังสามารถนำความรู้เฉพาะทาง เช่น อาหารและเครื่องดื่ม หรือแม้แต่ความเชี่ยวชาญทางด้านความสะอาด มาใช้เพื่อเป็นหนทางในการขยายตลาดสินค้าหรือบริการ
นอกจากนี้แบรนด์ยังควรที่จะติดตามสถานการณ์ที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวขาเข้าประเทศ โดยเฉพาะเรื่องมาตรการใหม่อย่าง Travel Bubble ที่สามารถเป็นโอกาสทางธุรกิจในอนาคต
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบทวิเคราะห์ 100 Days and Beyond กรุณาติดต่อแผนกพัฒนาและการตลาด กรุ๊ปเอ็ม (ประเทศไทย)
อีเมล์ GRM.BangkokComm@GroupM.com